วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

สับปะรดลอยแก้ว

วัสดุ
  1. สับปะรดไร่ม่วง    1 ลูก
  2. น้ำตาล                1/2 ถ้วย
  3. เกลือ                   1 ช้อนชา
  4. น้ำเปล่า               1 ถ้วย
  5. น้ำแข็ง                 1/2 ถ้วย

วิธีทำสับปะรดลอยแก้ว
  1. ปอกเปลือกสับปะรดแล้วหั่นเป็นชิ้นๆพอดีคำ
  2. ต้มน้ำให้เดือดใส่เกลือ น้ำตาล ลงไปคนให้ละลายแล้วลองชิมดูถ้าชอบรสชาติใหนก็เติมลงไป
  3. ทิ้งน้ำเชือมไว้ให้เย็น 


  1. การทำปุ๋ยหมักจากสับปะรด


     วัสดุ-อุปกรณ์
    1.ทางสับปะรด 1000 กิโลกรัม
    2.ขี้ไก่ 200 กิโลกรัม
    3.ขี้ค้างคาว 200 กิโลกรัม หรือ ปุ๋ยยูเรีย 2 กิโลกรัม
    4. พด.1 จำนวน 1 ซอง ผสมน้ำเปล่า 10 ลิตร
     วิธีการทำ
    1. 1.นำทางสับปะรด ขี้ไก่ ขี้ค้างคาว หรือปุ๋ยยูเรีย(ต้องละลายน้ำก่อน) ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน
      2.นำ พ.ด.1 ผสมกับน้ำเปล่า 10 ลิตร แล้วรดให้ทั่ว พร้อมกับทำการคลุกเคล้าให้เข้ากัน
      3.ทำกองปุ๋ยไว้ในที่ร่ม มีหลังคา และอากาศถ่ายเทได้สะดวก
      4.ทำการหมักทิ้งไว้ 7-8 เดือน แล้วให้ทำการกลับกองปุ๋ย ทุก 10 วัน พร้อมกับการพรมน้ำบนกองปุ๋ยให้ชื้นด้วย

       อัตราการใช้
      1. เมื่อหมักได้7-8 เดือนแล้ว สามารถนำไปใส่ในต้นไม้ได้ทุกชนิด ช่วยในส่วนของการเพิ่มธาตุอาหารในดิน
        อัตราการใส่ 4-5 กิโลกรัม ต่อต้น โรยรอบๆโคน ใส่ทุก 15 วัน
        นิยมใส่ในช่วงหลังจากที่เก็บผลผลิตแล้ว
แกงคั่วสับปะรด

วิธีทำแกงคั่วสับปะรด
ส่วนผสมที่ใช้ทำแกงคั่วสับปะรด
  • เนื้อสับปะรด 500 กรัม
  • หอยแมลงภู่แกะเปลือกแล้ว 100 กรัม
  • กุ้งสด 200 กรัม
  • น้ำพริกแกงคั่ว 3 ช้อนโต๊ะ
  • หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
  • หางกะทิ 2 ถ้วยตวง
  • น้ำปลา น้ำตาลปิ๊บ 
ขั้นตอนและวิธีทำการทำแกงคั่วสับปะรด
  1. หั่นสับปะรดเป็นชิ้นเล็กๆ
  2. ล้างหอยแมลงภู่ให้สะอาด
  3. ล้างกุ้งให้สะอาด
  4. ตั้งหัวกะทิ ด้วยไฟปานกลางพอเดือดแล้วให้ใส่น้ำพริกแกงคั่วลงไปผัดกันให้เ้ข้าที่จากนั้นใส่หางกะทิ
  5. เคี่ยวให้แตกมันเล็กน้อย ใส่กุ้ง หอยแมลงภู่ ตั้งไฟให้เดือด ใส่สับปะรด ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปิ๊บ 


สับปะรดกระป๋อง

วิธีการทำ



วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556


สายพันธุ์สับปะรดในประเทศไทย


 1.พันธุ์ปัตตาเวีย หรือเรียกว่า สับปะรดศรีราชา



พันธุ์ปัตตาเวีย หรือที่เรียกกันทั่วไป ว่า พันธุ์ศรีราชา มีผลใหญ่ที่สุดใน บรรดาสับปะรดด้วยกัน เนื้อมีรสหวานฉ่ำ ใบมีสีเขียวเข้ม กลางใบเป็นร่องมีสีแดงอมน้ำตาล ปลายใบมีหนามเล็กน้อย เป็นพันธุ์เดียวที่ปลูกเพื่อส่งโรงงานสับปะรดกระป๋อง ปลูกมากในจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ชลบุรี เพชรบุรี ระยอง และลำปาง

    2.พันธุ์อินทรชิต เป็นสับปะรดพันธุ์พื้นเมือง

 พันธุ์อินทรชิต หรืออินทรชิตแดง เป็นพันธุ์ เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย ปลูกมานานนับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ต้นมีขนาดใหญ่กว่าพันธุ์ปัตตาเวีย เล็กน้อย แต่มีหนามแหลมคมรูปโค้งงอ สีน้ำตาลอมแดงที่ขอบใบ ใบมีสีเขียวอ่อน ผลย่อยนูนเด่นชัด ตาลึกเมื่อแก่จัด เนื้อเป็นสีทอง รสไม่หวานจัด ภายในผลมีเส้นใยมากและผลค่อนข้างเล็ก จึง ไม่นิยมปลูกเพื่อบรรจุกระป๋อง ปลูกมากที่อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา

    3.พันธุ์ขาว

พันธุ์ขาว เป็นพันธุ์ที่ปลูกมากในอำเภอ บางคล้า มีทรงพุ่มเตี้ย มีใบสีเขียวอมเหลือง ใบสั้นและแคบกว่าอินทรชิต ขอบใบมีหนามแหลม ผลมีหลายจุก แต่เนื้อมีรสชาติและคุณภาพคล้ายคลึง กับพันธุ์อินทรชิตมาก จึงมีผู้สันนิษฐานว่าคงจะกลายพันธุ์มาจากพันธุ์ อินทรชิต

    4.พันธุ์ภูเก็ต หรือ พันธุ์สวี

พันธุ์ภูเก็ต หรือ พันธุ์สวี เป็นพันธุ์ที่มีใบแคบ และยาว ใบสีเขียวอ่อน และมีแถบสีแดงตอนกลางใบ ขอบใบเต็มไปด้วย หนามสีแดง ผลมีขนาดเล็ก ผลย่อยนูน ตาลึก เนื้อมีสีเหลือง รสหวานกรอบ และมีกลิ่นหอม นิยมปลูกกันมากในภาคใต้บริเวณจังหวัดภูเก็ตและชุมพร

5.พันธุ์นางแล หรือ พันธุ์น้ำผึ้ง

พันธุ์นางแล หรือพันธุ์น้ำผึ้ง มีผู้กล่าวว่าพันธุ์น้ำผึ้งนี้นำมา จากประเทศศรีลังกาบางท่านก็กล่าวว่านำมาจากมณฑลยูนนานของจีนแต่จาก ลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของต้น ใบ ดอก และผล จะคล้ายคลึงกันพันธุ์ปัตตาเวียมาก จึงอาจเป็นพันธุ์ย่อย หรือกลายพันธุ์มาจาก พันธุ์ปัตตาเวีย มีปลูกมากที่ ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย เนื่องจากมีรส หวานจัดเป็นที่นิยมของตลาด จึงปลูกเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว
6.พันธุ์ตราดสีทอง

พันธุ์ตราดสีทอง สับปะรดตราดสีทอง สับปะรดพันธุ์นี้จะไม่เหมือนพันธุ์อื่นตรงที่มีรสชาติหวาน กรอบทั้งผล โดยเฉพาะผิวเป็นตา ๆ สีเหลือง เย็นฉ่ำน่ารับประทาน

7.พันธุ์ภูแล

พันธุ์ภูแล ผล ขนาดเล็ก เนื้อสีทอง กลิ่นหอม แกนสับปะรดกรอบ รับประทานได้ รสชาติหวานปานกลาง สับปะรดภูแลเชียงราย หรือในชื่อเรียก สับปะรดภูแล เป็นสัปปะรดสายพันธุ์ในกลุ่มควีน ลูกเล็กและสามารถปลูกได้ตลอดปี





แกนสับปะรดอบแห้ง 


ส่วนประกอบ

1. เนื้อแกนสับปะรด 4-5 แกน
2. น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
3. เกลือ 2 ช้อนโต็ะ
4. น้ำสะอาด 2 ถ้วยตวง
5. กรดซิตริก 1 กรัม
6. น้ำปูนใส 1 ถ้วยตวง



วิธีทำ
1. นำแกนสับปะรดมาฝานเป็นชิ้นบางๆแล้วนำไปแช่ในน้ำปูนใส
2. เสร็จแล้วตักแกนสับปะรดออกไปผสมเกลือและกรดซิตริก คลุกให้ทั่ว หมักไว้ 1 คืน
3. จากนั้นนำแกนสับปะรดที่หมักได้ที่แล้วไปคลุกกับน้ำตาลทรายหมักทิ้งไว้อีก 1 คืน
4. เมื่อได้ที่แล้วตักแกนสับปะรดออกจากน้ำเชื่อม แล้วนำไปตาก หรือออบให้แห้ง
5. เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว นำไปเก็บในภาชนะที่แห้งสะอาดและปิดให้สนิท เก็บไว้กินได้นานหลายวัน




สับปะรดเชื่อม

ส่วนผสม
สับปะรดขนาดกลาง          1     ผล
น้ำตาล                          2     ถ้วย
เกลือ                            1     ช้อนชา
น้ำ                                2     ถ้วย

วิธีทำ
1.ปอกสับปะรดคว้านตาออก แล้วหั่นเป็นแว่นหนา 1/2 นิ้ว คว้านออก
2.ทำน้ำเชื่อมโดยใช้น้ำตาล 1 ถ้วย น้ำ 1 ถ้วย ต้มเดือดแล้วกรอง เอาตั้งไฟเดือด 10 นาที
3.ใส่สับปะรดไปเชื่อม หมั่นคนแล้วกลับไปกลับมาจนน้ำเชื่อมแห้งเอาขึ้น ใช้ได้


ข้อควรระวัง
1.เลือกสับปะรดทีสด ไม่ช้ำ และไม่เปรี้ยวจนเกินไป
2.ระหว่างเชื่อมอย่าใช้ไฟแรง เมื่อน้ำเชื่อมงวดต้องใช้ไฟอ่อน






สับปะรดกวน




ส่วนประกอบ

  1. สับปะรด                                                5          ผล
  2. แบะแซ                                               1/2         ถ้วย
  3. น้ำตาลทราย                                          3          ขีด
  4. เกลือป่น                                              1/2         ช้อนชา
วิธีทำ
  1. ปลอกสับปะรดเฉือนตาออกล้างน้ำให้สะอาด แล้วสับๆๆเนื้อสับปะรดให้ค่อนข้างละเอียด
  2. นำสับปะรดมาคั้นๆกับน้ำสะอาดเอาน้ำทิ้งไปแล้วนำเนื้อสับปะำดที่ได้ทั้งหมดใส่ลังถึงนึ่งให้สับปะรดสุกดี
  3. ตั้งกระทะทองเหลืองใช้ไฟปานกลาง ใส่น้ำสะอาดลงไปสัก 2 ถ้วยครึ่ง เติมน้ำตาลทรายลงไป เค่ียวไปเรื่องยจนกระทั่งน้ำตาลทรายเริ่มเป็นน้ำเชื่อมจึงค่อยใส่เนื้อสับปะรดลงไปเติมและแซลงไปฟสมดรยเกลือป่นสักครึ่งช้อนชา คนๆ กฟนๆ ไปเรื่อยๆ ให้สับปะรดกวนเริ่มเหนียวเป็นเงา ใช้ไฟค่อนข้างอ่อนคอยกวนเรื่อยๆ เมื่อเนื้อสับปะรดเหนียวและข้นจัดแล้วจึงค่อยตักใส่จานแบ่งไว้รับประทาน และเราสามารถเก็บได้เป็นเวลานาน   


การทำน้ำสับปะรด


1. น้ำสับปะรด 240 กรัม (1/4 ผลใหญ่)
2. น้ำเชื่อม 15 กรัม (1 ช้อนคาว)
3. เกลือป่นเสริมไอโอดีน 2 กรัม (2/5 ช้อนชา)
วิธีทำ
    นำสับปะรดล้างให้สะอาด ปอกเปลือกแล้วล้างอีกครั้ง คั้นเอาแต่น้ำ เติมน้ำเชื่อม เกลือ ชิมรสตามชอบ
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
คุณค่าทางอาหาร มีแคลเซียม และฟอสฟอรัสมากช่วยบำรุงกระดูก และฟันรองลงมามีวิตามินซีช่วยป้องกันโรคเลือด ออกตามไรฟัน
คุณค่าทางยาช่วยย่อยอาหาร ลดอาการแน่นท้อง ลดอาการ อักเสบ บวม ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ ช่วยขับ เสมหะ


วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประโยชน์และสรรพคุณของ สับปะรด

 ช่วยในการย่อยอาหาร สับปะรดมีกากใยอาหารอาหารมากซึ่งมีความสำคัญกับการย่อยอาหาร และเป็นที่รู้กันอยู่ว่ากากใยอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือดและช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเพราะในสับปะรดมีเอนไซม์ตามธรรมชาติที่มีชื่อว่า “บรอมีเลน” สามารถช่วยย่อยอาหารได้ทั้งใสภาวะเป็นกรดและด่าง จึงเหมาะมากที่จะพาไปช่วยย่อยในกระเพาะซึ่งเป็นกรด หากกินสัปปะรดหลังอาหารเป็นประจำ จะช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายด้วย
ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีสที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระที่จะทำลายโครงสร้างของ เซลล์ และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต นอกจากนี้ สารแอนตี้ออกซิแดนท์ยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย
ช่วยป้องกันโรคต่างๆ การรับประทานผักและผลไม้ให้ได้วันละ 5 กำมือจะช่วยลดการเสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมะเร็งได้ถึง 20% อีกทั้งยังเสริมสร้างการดูดซึมอาหาร เพราะสับปะรดมีกรด และวิตามินหลายชนิดครับ
ช่วยยับยั้งการอักเสบ เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยยับยั้งการอักเสบ ทั้งนี้ ชาวอเมริกาใต้โบราณใช้สับปะรดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและรักษาบาดแผล